9 ภาษีที่ต้องรู้ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ

อย่างที่เค้าพูดกันมีอยู่ 2 อย่างในโลกที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ “ความตาย” และ “ภาษี” แต่ภาษีนั้นมีหลายประเภทเหลือเกิน ซึ่งเราจะต้องรู้ก่อนว่าภาษีอะไรบ้างที่ต้องใช้ตอนเริ่มต้นธุรกิจ

1. ภาษีเงินได้

  • ภาษีเงินได้ที่เก็บจากคนที่มีรายได้ แบ่งเป็น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเก็บจากบุคคลธรรมดา ถ้าเราทำธุรกิจโดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เราต้องเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา โดยที่ผู้ทำธุรกิจในนามบุคคลนั้นจะต้องยื่นภาษีถึง 2 ครั้งในแต่ละปี นั้นคือ ภาษีครึ่งปี โดยใช้ ภ.ง.ด.94 และ ภาษีเงินได้ประจำปี โดยใช้ ภ.ง.ด.90 แตกต่างจากคนที่เป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้จากเงินเดือน ซึ่งจะยื่นครั้งเดียวเป็นภาษีเงินได้ประจำปีโดยใช้ ภ.ง.ด.91 แทน
  • สำหรับคนที่ทำธุรกิจรูปแบบนิติบุคคล ภาษีที่ต้องเสียก็คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปีนึงๆต้องยื่นภาษี 2 ครั้ง คือ ภาษีเงินได้ครึ่งปี โดยใช้ ภ.ง.ด. 51 และภาษีเงินได้ประจำปี โดยใช้ ภ.ง.ด.50

2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ก็ความหมายตามชื่อของมัน คือจะ “หัก ณ ที่จ่าย” ถ้ามีการจ่ายเงินเกิดขึ้นตามเงื่อนไข ผู้จ่ายเงินก็ต้องหักเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อนำส่งภาษีให้รัฐ หลักการของภาษีนี้ก็คือเพื่อลดภาระภาษีตอนปลายปีของผู้รับเงินในฐานะผู้มีเงินได้ เพราะเป็นการทยอยๆ เสียภาษีทีละนิดๆ ตามครั้งที่รับเงิน ดีกว่าที่จะมาเจอต้องเสียภาษีเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เดียว (อีกเหตุผลนึงก็คือสรรพากรต้องการเพิ่มโอกาสที่จะได้รับเงินภาษีเพิ่ม เพราะว่าหลายคนมักไม่ค่อยกล้าขอคืนภาษีกันซักเท่าไหร่)
  • อัตราภาษีที่ต้องหักนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเราจ่ายให้ใคร และจ่ายค่าอะไร เราจะยังไม่ลงรายละเอียดในบทความนี้ แต่รู้ไว้แล้วกันว่าเมื่อเราต้องจ่ายเงินให้กับคนอื่นทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล เราต้องหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งสรรพากรด้วย และในทางกลับกันเราก็จะไม่ได้รับเงินเต็มจำนวนจากลูกค้าเรา เพราะเค้าก็ต้องหักเงินเราแล้วนำส่งให้สรรพากร
  • เงินส่วนที่เราหักไป หรือลูกค้าหักจากเรา จะถูกแทนที่ด้วยกระดาษที่เรียกว่า “หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย” ซึ่งผู้ถูกหัก ณ ที่จ่ายสามารถนำไปขอคืนจากรัฐตอนสิ้นปี หรือไปลดภาระภาษีได้
  • ภาษีที่คุณต้องนำส่งนั้น แบ่งเป็นหลายประเภท ถ้าเราจ่ายเงินให้กับบุคคลธรรมดา แบบภาษีที่เราต้องหัก และนำส่งให้รัฐอาจจะเป็น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจ่ายเงินค่าอะไร หรือถ้าเราจ่ายเงินในนิติบุคคล ภาษีที่เราต้องหัก และนำส่งให้รัฐอาจจะเป็น ภ.ง.ด.53, ภ.ง.ด.54 ก็ได้ รายละเอียดไว้ดูกันในบทความต่อไป

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่รู้จักกันในนาม VAT ก็คือภาษีที่เก็บเพิ่มจากราคาสินค้าหรือบริการที่คิดกับลูกค้า โดยผู้ขาย ที่จดทะเบียน VAT แล้ว มีหน้าที่จะต้องเรียกเก็บ VAT เพิ่มจากราคาขาย 7% และเรียกว่า “ภาษีขาย”
  • และหากเราไปซื้อสินค้า/บริการที่ผู้ขายมีการคิด VATด้วย ส่วนเพิ่มที่จ่ายไปในราคาซื้อนี้เรียกว่า “ภาษีซื้อ”
  • ผู้ที่อยู่ในระบบ VAT ต้องนำส่งภาษีให้กับสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด (เช่น วันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือ + 8 วันหากยื่นออนไลน์) โดยคำนวณจากยอดภาษีขาย หักออกด้วยยอดภาษีซื้อ
  • ถ้าภาษีขาย > ภาษีซื้อ เราก็ต้องจ่ายให้สรรพากรในส่วนที่ยังขาดอยู่ แต่ถ้าภาษีซื้อ > ภาษีขาย เราก็สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนี้จากสรรพากรได้ หรือเก็บไว้ขอคืนหรือหักกลบในเดือนต่อไปก็ได้
  • สำหรับการยื่นภาษีซื้อนี้ มี 2 แบบฟอร์ม ก็คือ ภ.พ.30 (สำหรับการซื้อขายกับผู้ประกอบการในไทย) และ ภ.พ.36 (สำหรับการซื้อขายกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ เช่น ค่าเช่าเซอร์เวอร์ต่างประเทศ ค่าบริการซอฟท์แวร์จากต่างประเทศ)

4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ

  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ ธุรกิจโดยทั่วไปมักจะไม่ค่อยได้ยุ่งกันซักเท่าไหร่ เพราะตามชื่อเลย มันคือการบังคับใช้กับธุรกิจบางธุรกิจเท่านั้น โดยทั่วไปก็เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การธนาคาร หรือโรงรับจำนำ
  • แต่บางครั้งธุรกิจธรรมดาๆทั่วไป ก็ต้องเสียภาษีตรงนี้ด้วย จากบัญชีลี้ลับที่มีชื่อว่า “เงินให้กู้ยืมกรรมการ” ทำให้เราต้องมีการคิดดอกเบี้ยจากกรรมการและจะกลายเป็นธุรกรรมที่เข้าค่ายการทำธุรกิจเยี่ยงธนาคาร (คือการปล่อยกู้)
  • สำหรับการยื่นภาษีธุรกิจเฉพาะนี้ เราจะใช้ ภ.ธ.40 ในการยื่นภาษี และต้องยื่นภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (หรือ + 8 วันหากยื่นออนไลน์)

5. ภาษีสรรพสามิต

  • ภาษีสรรพสามิตหรือ “ภาษีบาป” เรียกเก็บจากการขายสินค้า/บริการบางประเภทที่มีส่วนทำลายสังคม วัฒนธรรม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เช่น บุหรี่ เหล้า ไพ่ น้ำมัน เชื่อเพลิงต่าง ๆ อาบอบนวด รถยนต์ยานพาหนะ เป็นต้น หรือสินค้า/บริการที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย เช่น น้ำหอม สนามกอล์ฟ พรมขนสัตว์ เป็นต้น และต้องแจ้งงบรายเดือนให้กับสรรพสามิตพื้นที่ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

6. ภาษีบำรุงท้องที่

  • ภาษีบำรุงท้องที่ หมายถึง ภาษีที่เก็บจากเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าจะเป็น บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี (เช่น อาคารพาณิชย์ ที่รกร้าง)
  • ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะต้องนําเงินมาชําระค่าภาษีในเดือนเมษายนของทุกปีที่กองคลังของเทศบาลที่ที่ดินตั้งอยู่ ตามอัตราที่แต่ละท้องที่กำหนด โดยต้องยื่นครั้งแรกในเดือนมกราคมของปีนั้นๆโดย 4 ปีจะชำระครั้งนึง หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของหรือการใช้ประโยชน์ก็ต้องชำระภายใน 30 วันที่มีการเปลี่ยนแปลง ชำระที่สำนักงานเขต หรืออำเภอที่ตั้งอยู่

7. ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง

  • ในกรณีที่เรามีอาคาร หรือที่ดินเพื่อเช่า และมีรายได้จากการเช่า เราจะต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 12.5% ต่อปีของค่าเช่าทั้งปี (ค่าเช่าที่คิดทั้งปี เช่น ถ้าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ค่าเช่าทั้งปีคือ 5,000×12 = 60,000 บาท จะเสียภาษี 12.5% = 7,500 บาท) โดยชำระที่สำนักงานเขต หรืออำเภอที่ตั้งอยู่ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี

8. ภาษีป้าย

  • ภาษีป้ายคือภาษีที่เก็บจากป้าย ซึ่งคิดตามขนาดของป้าย แต่เริ่มต้นที่ 200 บาทสำหรับป้ายที่ไม่ได้รับการยกเว้น ภาษีป้ายจะต้องยื่นที่สำนักงานเขต หรืออำเภอที่ตั้งอยู่ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี

9. อากรแสตมป์

  • อากรแสตมป์เป็นภาษีที่ต้องเสียเมื่อทำธุรกรรมบางอย่าง (มี 28 อย่าง) เช่น สัญญาเช่าที่ เช่าซื้อ จ้างทำของ หรือการกู้ยืมเงิน เป็นต้น โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีคือ ผู้ให้เช่า หรือผู้ให้กู้ โดยสามารถชำระเป็นอากร (ซื้อได้ที่กรมสรรพากร) หรือเป็นเงินสด (ในตราสารบางประเภท และต้องขออนุมัติด้วย อ.ส.4 ก่อน) เขียนโดย ภีม เพชรเกตุ (CEO โปรแกรมบัญชี PEAK )

Leave a Comment